ความพอใจกับความถูกต้อง

ความพอใจกับความถูกต้อง
เมื่อแรกเกิดเราทุกคนล้วนมีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด การร้องไห้ของเด็กในครั้งแรกสุดของชีวิตก็ล้วนเพื่อการเอาชีวิตรอด เมื่อเริ่มตั้งไข่ เราเริ่มรู้จักที่จะมีความต้องการถัดมาจากความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ เริ่มอยากให้คนมาอุ้ม ความต้องการที่นับวันจะมีความเพิ่มพูน ตามอายุ ความคิดที่ซับซ้อนขึ้นตามสติปัญญา เริ่มกระทืบเท้าร้องเรียกให้พ่อแม่สนใจ จวบจนเราโตขึ้น ความต้องการย่อมซับซ้อนขึ้นเป็นเงาตามตัว
เรามักจะได้ยินอยู่เสมอว่าเด็ก เปรียบเสมือนผ้าขาว ทำให้เรามองเด็กทุกคนด้วยความรักและเอ็นดู อีกนัยหนึ่งเรารู้สึกปลอดโปร่ง มั่นคง และปลอดภัยเมื่ออยู่กับเขา ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่คิดเช่นนั้น ยามว่างจากงานอันยุ่งเหยิง ผมมักจะไปอุ้มตี๋น้อย..หลาน ของผม เวลาที่พ่อแม่ของเขาไม่มีเวลาดูแล ทุกครั้งที่ผมอยู่กับตี๋น้อย ผมรู้สึกถึงความสงบในจิตใจ ยามที่มองลงไปในสายตาคู่น้อยที่เหมือนกับผ้าขาวไร้ริ้วรอยการขีดเขียนใดๆ ตี๋น้อยและเด็กทุกคนจะแสดงอารมณ์ออกมาตาม สัญชาตญาณที่ธรรมชาติสร้างมา มือน้อยๆ ของเขาชอบเขี่ยหนวดเคราของผม และมักจะร้องเสมอเมื่อผมเริ่มหยุดที่จะนั่ง เพราะเขาไม่รู้ว่าเวลาคนเราถือของอะไรหนักๆ จะเมื่อย ยังไม่รู้จักที่จะคิดเกรงใจคนอุ้ม ตี๋น้อยจึงมีแต่ความต้องการที่จะทำให้ตัวเองพอ ใจผ่ายเดียว มือน้อยๆ ของเขาจะทุบตีเวลาที่เขาไม่พอใจอะไร นั่นเป็นสิ่งที่ยอมรับและเข้าใจได้เสมอเมื่อผู้ใหญ่ทุกคนเจอกับการกระทำ เหล่านี้ ก็จะเข้าใจและให้อภัยเด็กน้อยทุกๆ คนได้


มาถึงตรงนี้ จึงเริ่มมีข้อแตกต่างระหว่างความเป็นเด็กกับความเป็นผู้ใหญ่เกิดขึ้น เราทุกคนได้รับการสั่งสอนทั้งจากสถานศึกษา ครอบครัว หรือสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีโอกาส ก็จะได้รับการสอนสั่งจากสังคมที่เขาอยู่ จากประสบการณ์ตรงในชีวิตของแต่ละคนไป ให้รู้จักเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม รู้จักการยับยั้งชั่งใจ ไม่กระทำสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ของสังคม เพื่อให้ตัวเองอยู่ได้ และเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในสังคม หากแต่ทุกวันนี้ สังคมที่ทวีความซับซ้อนจนเราเอง มีภาระมากจนบางครั้งเกินกว่าที่เราจะสามารถมานั่งเก็บรายละเอียดปลีกย่อย อันซับซ้อนในการดำรงชีวิตได้ เพราะเรื่องราวที่จะต้องทำต้องประกอบอาชีพมันมีมากขึ้นเป็นทวีคูณจากความ ต้องการที่สังคมบอกว่าเราควรจะมี เพื่อให้เราได้รับความรู้สึกภูมิใจและมีหน้ามีตา เพื่อให้เราได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้มีฐานะ ประสพความสำเร็จในทางโลก แบบที่คำพระท่านว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ จนบางครั้งเราเองลืมที่จะใส่ใจถึงวิธีการที่ จะได้มา ผลกระทบที่เรากระทำต่อผู้อื่นไปจนถึง บางรั้งเราลืมที่จะทำตัวให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่เด็กน้อยๆ ที่กำลังจะเขียนผืนผ้าชีวิตของเขา

ประเทศเรายกย่องคนที่ประสพความสำเร็จโดยเฉพาะ เราตีค่าความสำเร็จไปที่วัตถุซะเป็นส่วนใหญ่ ผืนผ้าสีขาวที่ถูกระบายสีทุกวัน วันละนิดละน้อยจากสื่อรูปแบบต่างๆ ที่ใช้กระบวนการขยายผลโดยนำเอาหลักการตลาดตะวันตกมาสร้างกระแสบริโภคนิยม เพื่อการค้าอย่างเดียว ซึ่งจะเห็นได้ว่ากระแสดังกล่าวนี้ ประสบความสำร็จมากเสียจนมีคนเห็นดีเห็นงามนำไปใช้กันในทุกแวดวง ทำให้เราเองจะได้เห็น พรรคการเมืองที่นำเอาระบบเอเจนซี่โฆษณามาใช้ เราจะได้เห็นวัดที่นำเอาระบบขายตรงมาใช้โดยไร้ซึ่งความละอาย ไม่รวมถึงสถาบันอื่นๆ ที่หลงลืมที่จะมองจุดหมายที่แท้จริงของตน

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงไม่แปลกเลยที่ประเทศเราจะมีเด็กนักเรียนยกพวกเข้าตีกันเหมือนกับว่าเป็น ทัพไทยกับทัพพม่ากลับชาติมาเกิด เขาเหล่านั้นไม่เคยยั้งคิดแม้สักนิดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันส่งผลต่อสิ่งใด บ้าง ไม่แม้จะสนใจต่อชีวิตอนาคต นอกจากนี้ เราที่บอกตัวเองว่าเป็นเมืองพุทธ แต่กลับมีปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศกับเด็กไม่เว้นแต่ละวัน จนเดี๋ยวนี้เลยเถิดไปจนถึงการกระทำระหว่างเด็กต่อเด็กด้วยกัน ผ้าขาวผืนนั้นไม่ได้ขาวอย่างที่เราเคยเข้าใจเสียแล้ว จะโทษใครได้บ้างเพราะถ้าหากพวกเขาได้รับสีที่สวยงามตั้งแต่ต้นก็คงไม่มีสภาพ เป็นอย่างนี้

เราจะเห็นได้ว่าตลอดชีวิตการเติบโตของเขา 24 ชั่วโมงของทุกวันมีสิ่งต่างๆ เข้ามามากมายจนขนาดผู้ใหญ่เองยังตั้งตัวรับแทบไม่ติด ...เรามีหนังทีวี หนังโรง ที่อธิบายถึงความชั่วของคนมากกว่าคนดี ไม่ว่าจะเป็นหนังปล้น หนังที่ยกอาชกรมาเป็นตัวเอกของเรื่อง หนังที่ยกเอาคดีสะเทือนขวัญผิดธรรมชาติมาสร้าง แต่ในขณะที่หนังอย่างพระพุทธเจ้ากลับถูกมองว่าไม่ประสบความสำเร็จ เรามีช่องทางเปิดให้เด็กจะไปเสียผู้เสียคนเยอะมากกว่าช่องทางที่จะเปิดแกม บังคับให้เขาไปในทางที่สร้างสรรค์ ทุกวันนี้เครื่องดนตรี ยังเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย เด็กที่ศูนย์วัฒนธรรมที่ผมดูแลยังต้องสร้างเครื่องดนตรีเอาเอง

ในขณะที่สังคมมีแต่ภาพของคนที่ได้ดิบได้ดี แม้ทุกคนจะรู้อยู่แก่ใจว่าทรัพย์สินอันมั่งคั่งที่คนพวกนั้ได้มา ไม่ว่าจะพวกล้มบนฟูก หรือพวกสร้างอิทธิพลจากอำนาจหน้าที่ นั้นมาจากที่ใด เรากลับยกมือไหว้พวกเขาเหล่านั้นเองและทำให้ดอกบัวในมือเราเสื่อมความหมายไป อย่างน่าสลด

บทความชิ้นนี้เขียนขึ้นมาจากความคิดต้นร่างที่ประมวลออกมาจากข่าวสารการตั้ง แก๊งค์ซิ่ง แก๊งค์ข่มขืน กันจนเป็นแฟชั่นของเด็ก การยกพวกตีกัน และปัญหาความรุนแรงทางสังคม ทางเพศ ที่เกิดจากสื่อและสังคม ผมเขียนขึ้นสดๆ จนแทบจะดูหละหลวมและฟุ่มเฟือยคำ แต่เขียนตรงจากความคิด ณ ขณะที่พิมพ์อยู่นี้ ด้วยความหวังอย่างแรงกล้าที่จะบอกให้กับท่านผู้อ่านได้ทราบว่า สังคมเรากำลังป่วยไข้เหมือนหวัดนก หากเราไม่รักษาร่างกายเราให้ดี คนที่จะตายกลุ่มแรกคือเด็ก เพราะเด็กมีภูมิต้าน ทานต่ำกว่าเรามากนัก ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะมาช่วยกันทำให้ค่ำว่า “ รู้จักผิดชอบชั่วดี” มีความหมายตรงๆ อย่างที่มันควรจะเป็น สร้างมันให้อยู่ในสติสามัญสำนึกของคนในสังคม เพราะไม่ว่าหมออย่างนายกทักษิณจะเก่งแค่ไหน แต่ถ้าคนไข้จำนวนหลายล้านคน กับคณะแพทย์ที่บางคนดีบางคนไม่ดี ที่ได้รับเลือกมาทุกสมัย ยังไม่รู้จักช่วยตัวเองและปรับปรุงตัวเองแล้ว ถัดจากเด็ก ไวรัสเชื้อชั่วต่างๆ เหล่านี้จะกลายพันธ์จน ไม่ว่าหมอและยาชนิดไหนก็เอามันไม่อยู่ และเมื่อนั้น...คงต้องถึงเวลาที่เราจะต้องเดือดร้อนกันถ้วนหน้าแน่ๆ ขออย่าให้มันเกิดขึ้นเลยครบ…สา..ธุ

ที่มา
http://www.9dern.com/rsa/view.php?id=36 

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น