กว่าจะได้ค่าขนม


อะวันนี้ขอย้อนกลับไปสมัยอดีตของตัวเองซะหน่อย ก็ไม่มากไม่มายครับ ตอนอายุประมาณ 10 ขวบ ผ่านมาแล้ว 20 ปี (แก่จัง) ตอนนั้นพ่อพาครอบครัวอพยพจาก จ.พะเยา มาอยู่ที่ อ.เบตง จ.ยะลา ด้วยเหตุผลที่ว่า ที่นี่หากินได้คล่องกว่า สมัยนั้นครอบครัวผมมีอาชีพเกษตรกรรม ปลูกผักขายครับ เช้ามาต้องรีบตื่นมารดน้ำผัก พอ 7 โมงเช้าก้อาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน ก็เดินไปหวัดดี พ่อกับแม่ เพื่อบอกว่าจะไปเรียนแล้วนะ แม่บอกว่า  วันนี้ไม่มีค่าขนมให้นะ แม่ยื่นห่อข้าวไข่เจียวให้ ไว้กินตอนพักเที่ยง พร้อมกับชี้ไปที่แคร่ พูดว่า แม่เก็บผักบุ้งไว้ให้ เอาไปสิ ผมกับน้องมองหน้ากัน ก็รู้คำตอบแล้วว่า วันนี้แม่ให้เอาผักบุ้งไปขายที่ร้านส้มตำหน้าโรงเรียน เพื่อเอาเงินมาเป็นค่าขนม (น้องสาวผมอ่อนกว่าปีเดียวครับ) เราสองคน ก้แบกกระเป๋าเป้นักเรียนไว้บนหลัง ผักบุ้งวางอยู่ 4 มัด มัดละเกือบ 2กิโล เป็นผักบุ้งน้ำ คือผักบุ้งที่ขึ้นในน้ำนิ่ง ไม่ใช่ผักบุ้งจีนที่มีราก อุปกรณ์ที่ผมกับน้องใช้หาบผักบุ้งไปโรงเรียน ก็คือไม้คานที่เค้าเอาไว้หาบน้ำ แม่จะมัดผักบุ้งไว้ที่ปลายคานทั้งสองข้าง เพื่อไม่ให้น้ำที่อยู่ในนั้น มาทำให้ชุดนักเรียนเปียก ผมกับน้องด็รับผิดชอบตนละคาน คือคนละ 2 มัด น่ะแหละ เราจะใช้ทางลัดเพื่อความรวดเร็ว ระยะทางจากบ้านไปโรงเรียนประมาณ 4กิโลเมตร มันเป็นทางเดินป่าดีๆนี่เองครับ จากบ้านไปไม่กี่ร้อยเมตร ก็จะเป็นแม่น้ำ ตรงจุดนี้เราต้องข้ามไปยังอีกฝั่ง แน่นอนว่าไม่มีใคร
มาสร้างสะพานไว้ ตรงที่เราใช้เดินข้าม เป็นจุดที่ตื้นที่สุด ถึงกระนั้น บางจุดก็ยังต้องเขย่งเท้าเพื่อไม่ให้ชายกางเกงเปียกน้ำ ความกว้างของคลองราวๆซัก 10เมตร มือข้างนึงหิ้วรองเท้าตัวเองและของน้อง มืออีกข้างนึงคอยประคองหาบผักบุ้งไม่ให้มันหล่น กระเป๋านักเรียนสะพายหลัง ส่วนน้องสาวก็ไม่แพ้กัน มือที่เหลืออยู่อีกข้างพยายามเกาะตัวพี่ชาย เพื่อไม่ให้ตัวเองเสียหลัก ต้องค่อยๆเดินข้ามคลองไปอย่างช้าๆ ตรงจุดนั้นน้ำเชี่ยวพอสมควร ใต้น้ำก็เป็นหินก้อนเล็กๆ ลื่นๆ ก้าวไปแต่ละก้าวต้องคอยพยายามเอานิ้วเท้าจิกพื้นลงไปหาที่ยึดเพื่อทรงตัวไม่ให้ล้ม ต้องคอยระวังน้องที่อยู่ข้างหลังตลอดเวลา เพราะถ้าพลาดล้มลงไปคนนึง ก็หมายความว่าต้องเปียกกันทั้งคู่ล่ะงานนี้ กว่าจะข้ามไปได้นี่ก็ทุลักทุเลกันไม่น้อย ยิ่งวันไหนฝนตกหนัก ก็ตัองทำใจไว้เลยว่าพรุ่งนี้เช้า น้ำจะสูงขึ้น อาจจะต้องเตรียมกางเกงไปเปลี่ยน  หลังจากข้ามคลองได้แล้ว ก็จะมาถึง ช่วงที่เป็นป่า ปกติแล้วคนที่นี่ จะปลูกยางพารา ไม่ว่าจะไปทางไหนก็จะเจอแต่ต้นยางพารา จะมีบ้างที่เป็นสวนผลไม้
แต่จุดที่ผมกับน้องเดินผ่านนี้ น่าแปลก เพราะไม่ได้เป็นสวนยางพารา หรือสวนผลไม้แต่อย่างใด แต่เป็นป่าที่ไม่รกนัก ต้นไม้ไม่สูงมาก และแต่ละต้นอยู่ห่างๆกัน แต่ที่ติดกันเป็นพรืดก็คือ ป่าหญ้าคา ซึ่งก็ไม่ใหญ่ไม่โต มันสูงกว่าหัวผมขึ้นไปอีกประมาณ 1 เมตรเห็นจะได้ เรียกได้ว่าถ้าวิ่งเข้าไปในป่านี้ รับรองหากันไม่เจอ และที่สำคัญคนที่วิ่งเข้าไปจะหาทางออกได้รึป่าวไม่รู้
มาถึงตอนนี้ หลายคนคงคิดว่าแล้วผมบุกป่าฝ่าดงผ่านไปได้ยังไง แน่นอนผมไม่ได้เก่งขนาดที่จะบุกป่าได้ ที่ผ่านไปได้อย่างสบายนั่นเพราะ มันมีทางคนเดินอยู่ ไอ้ผมก็เดินตามทางนี่แหละ แต่กระนั้นบางช่วงหญ้ามันก็สูงท่วมหน้าแข้งเหมือนกัน เดินฝ่าป่าหญ้าคาประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะเจอสนามบิน เป็นสนามบินเล็กๆที่ไม่เคยเห็นเครื่องบินมาลง จะมีก็แต่เฮลิปค็อปเตอร์ที่นานๆมีมาลงจอดซักทีนึง  ถึงตรงนี้ก็จะเป็นจุดหยุดพัก เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยของชุดนักเรียน ถอดรองเท้าออกมาเคาะ ถอดถุงเท้าออกมาสะบัดเอาทรายออก มองจากด้านหนึ่งของสนามบิน เห็นเสาธง และหลังคาอาคารเรียนอยู่รำไร เพียงแค่เดินไปจนสุดรันเวย์สนามบินก็เป็นอันว่าถึงเขตโรงเรียน นึกในใจว่าใกล้ถึงจุดหมายแล้ว อีกอึดใจเดียวเท่านั้น ซึ่งจากจุดนี้ไปอีกไม่มากไม่น้อยเลยครับ เกือบๆ2กิโลเมตร ขนาดเช้าๆแดดไม่มีก็เล่นเอาเหงือชุ่มเลยครับ พอถึงโรงเรียน เราก็จะเดินอ้อมไปทางร้านค้า ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของสนามฟุตบอล ร้านค้าเป้าหมายของเราสองพี่น้องคือ ร้านขายส้มตำครับ แม่ค้าพอเห็นเราเดินเข้าไปก็จะยิ้มทักทายต้อนรับเป็นอย่างดี พอวางหาบผักบุ้งลง แม่ค้าก็เป็นคนแกะออกจากคานหาบเอง แล้วเอาไปชั่ง ที่จริงแล้วแม่ผมจะชั่งแล้วมัดโดยเผื่อมาปรัมาณ2~3ขีด เพื่อที่ว่ามาถึงนี่แล้วเอาขึ้นตาชั่งก็จะได้ มัดละ1กิโล พอดิบพอดี อาจจะเกินมานิดนึง งงไหมครับว่าทำไมน้ำหนักมันลดลง ก็เพราะว่ามันเป็นผักบุ้งน้ำ  ดังนั้นในผักบุ้งย่อมมีน้ำอยู่ด้วย ระหว่างที่เดินมาหลายกิโลเนี่ยะ น้ำมันก็หยดติ๋งๆตลอดทาง มาถึงนี่ก็เลยเหลือเท่านี้
ที่ร้านนี้เค้ารับซื้อ กิโลกรัมละ 2บาท สรุปว่าผมกับน้องได้เงินค่าผักบุ้งคนละ4บาท ไว้เป็นค่าขนมตอนกลางวันครับ ไม้คานที่ใช้หาบมาก็จะฝากไว้ที่ร้าน ตอนเลิกเรียนค่อยมาแวะเอากลับบ้านอีกทีนึง
นี่ก็เป็นความลำบากเล็กน้อยในการหาค่าขนมสมัยเด็กๆครับ เชื่อว่าหลายท่านที่อ่านคงจะสบายกว่านี้ และคงมีบางท่านที่อาจจะลำบากกว่าผมก็เป็นได้
ชีวิตต้องสู้ครับ อย่าคิดมากครับพี่น้อง ......

1 ความคิดเห็น:

ฝงหวิน กล่าวว่า...

สนามบินที่ว่า แม่เราบอกว่า เคยมีเครื่องบินมาใช้นะ เปนเครื่องบินเอกชนเล็ก เครื่องบินส่วนตัวแหล่ะ เอามาจาเปิดให้บริการ มีคนรอขึ้นเยอะด้วย แต่พอกำลังวิ่งไปตามรันเวย์เพื่อเตรียมขึ้น ปรากฏว่า เครื่องเกิดขัดข้อง ไม่สามารถบินขึ้นได้ ( เพราะเครื่องบินเก่ามาก ไม่ใช่จิ ต้องใช้คำว่า เก๊า เก่า เหอะๆ )และหลังจากนั้น ก้อเจ๊งไปเลย เหอะๆ

แสดงความคิดเห็น